เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าการสูบบุหรี่เพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อโรคหลายๆโรค รวมทั้งมะเร็งชนิดต่างๆและโรคหัวใจ แต่การศึกษาเกี่ยวกับผลของการสูบบุหรี่ต่อสุขภาพส่วนใหญ่เป็นการศึกษาคนสูบบุหรี่วัยกลางคน ส่วนการศึกษาวิจัยเรื่องนี้ชิ้นล่าสุดโดยทีมนักวิจัยชาวเยอรมันเป็นการศึกษาผลกระทบต่อสุขภาพในคนสูบบุหรี่ที่อายุมากกว่าหกสิบปี
ทีมนักวิจัยได้นำข้อสรุปจากการวิจัยเรื่องนี้จำนวน 17 การวิจัย ที่จัดทำในสหรัฐอเมริกา จีน ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น อังกฤษ สเปนและฝรั่งเศสในช่วงปีพุทธศักราช 2530 ถึงปี 2554
หลังจากประมวลข้อมูลทั้งหมดแล้ว ทีมนักวิจัยสรุปว่า หากเปรียบเทียบกับคนที่ไม่เคยสูบบุหรี่เลย คนสูบบุหรี่ที่อายุหกสิบปีขึ้นไป มีโอกาสเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากทุกโรคเพิ่มขึ้นแปดสิบสามเปอร์เซ็นต์ และมีโอกาสเสี่ยงเพิ่มขึ้นกว่าคนที่เคยสูบบุหรีถึงสามสิบสี่เปอร์เซ็นต์
T.H. Lam อาจารย์แห่ง school of public health ที่มหาวิทยาลัย University of Hong Kong กล่าวว่า ผู้ที่ยังสูบบุหรี่ไปเรื่อยๆแม้จะย่างเข้าวัยสูงอายุมีโอกาสหนึ่งในสองต่อการเสียชีวิตจากการสูบบุหรี่ เขาบอกว่าผลการวิจัยล่าสุดเเสดงว่ายังไม่สายเกินไปที่จะเลิกสูบบุหรี่
คุณ Lam ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าหากคนสูงอายุเลิกสูบบุหรี่ พวกเขาจะลดระดับความเสี่ยงที่เกินพอดีลงมาหนึ่งในสี่ นี่ถือเป็นข่าวดีที่ย้ำว่าผู้สูงอายุไม่ควรเดินหน้าสูบบุหรี่ต่อไป แต่ควรเลิกสูบบุหรี่ในเร็ววันที่สุดเท่าที่จะเร็วได้
สำหรับ คนที่เริ่มสูบบุหรี่ตั้งแต่อายุยังน้อย แต่สามารถเลิกได้เมื่ออายุย่างเข้าสามสิบปี คุณ Lam ผู้เชี่ยวชาญแห่งมหาวิทยาลัย University of Hong Kong กล่าวว่า คนเหล่านี้จะมีโอกาสเสียชีวิตจากโรคที่เกี่ยวข้องกับบุหรี่ลงไปอย่างมาก จนระดับความเสี่ยงไปอยู่ในระดับเกือบเท่ากับคนที่ไม่เคยสูบบุหรี่เลย
แต่เขาบอกว่าปัญหาก็คือผู้สูบบุหรี่ที่อายุมากแล้วไม่ค่อยเห็นความจำเป็นเร่งด่วนในการเลิกสูบบุหรี่
คุณ Lam ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าคนเหล่านี้มัวแต่ผลัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อยๆ แม้แต่บางคนที่ป่วยเป็นมะเร็งปอด ก็ยังไม่ยอมเลิกสูบบุหรี่ ทั้งๆที่การเลิกบุหรี่จะเป็นผลดีต่อการบำบัดมะเร็งก็ตาม
ผู้เชี่ยวชาญประมาณว่าการสูบบุหรี่เป็นสาเหตุให้ผู้ชายทั่วโลกสิบสองเปอร์เซ็นต์เสียชีวิตและผู้หญิงทั่วโลกหกเปอร์เซ็นต์เสียชีวิต และหากคนจำนวนมากยังไม่เลิกสูบบุหรี่ คาดว่าจะมีคนเสียชีวิตจากโรคที่เกี่ยวข้องกับบุหรี่เป็นรายที่หนึ่งพันล้านภายในปลายคริสตศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด
บทความเกี่ยวกับผลกระทบจากการสูบบุหรี่ต่อคนสูงอายุ พร้อมกับข้อคิดเห็นของ T.H. Lam ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัย University of Hong Kong ตีพิมพ์ในวารสาร Archives of Internal Medicine เมื่อเร็วๆนี้
ทีมนักวิจัยได้นำข้อสรุปจากการวิจัยเรื่องนี้จำนวน 17 การวิจัย ที่จัดทำในสหรัฐอเมริกา จีน ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น อังกฤษ สเปนและฝรั่งเศสในช่วงปีพุทธศักราช 2530 ถึงปี 2554
หลังจากประมวลข้อมูลทั้งหมดแล้ว ทีมนักวิจัยสรุปว่า หากเปรียบเทียบกับคนที่ไม่เคยสูบบุหรี่เลย คนสูบบุหรี่ที่อายุหกสิบปีขึ้นไป มีโอกาสเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากทุกโรคเพิ่มขึ้นแปดสิบสามเปอร์เซ็นต์ และมีโอกาสเสี่ยงเพิ่มขึ้นกว่าคนที่เคยสูบบุหรีถึงสามสิบสี่เปอร์เซ็นต์
T.H. Lam อาจารย์แห่ง school of public health ที่มหาวิทยาลัย University of Hong Kong กล่าวว่า ผู้ที่ยังสูบบุหรี่ไปเรื่อยๆแม้จะย่างเข้าวัยสูงอายุมีโอกาสหนึ่งในสองต่อการเสียชีวิตจากการสูบบุหรี่ เขาบอกว่าผลการวิจัยล่าสุดเเสดงว่ายังไม่สายเกินไปที่จะเลิกสูบบุหรี่
คุณ Lam ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าหากคนสูงอายุเลิกสูบบุหรี่ พวกเขาจะลดระดับความเสี่ยงที่เกินพอดีลงมาหนึ่งในสี่ นี่ถือเป็นข่าวดีที่ย้ำว่าผู้สูงอายุไม่ควรเดินหน้าสูบบุหรี่ต่อไป แต่ควรเลิกสูบบุหรี่ในเร็ววันที่สุดเท่าที่จะเร็วได้
สำหรับ คนที่เริ่มสูบบุหรี่ตั้งแต่อายุยังน้อย แต่สามารถเลิกได้เมื่ออายุย่างเข้าสามสิบปี คุณ Lam ผู้เชี่ยวชาญแห่งมหาวิทยาลัย University of Hong Kong กล่าวว่า คนเหล่านี้จะมีโอกาสเสียชีวิตจากโรคที่เกี่ยวข้องกับบุหรี่ลงไปอย่างมาก จนระดับความเสี่ยงไปอยู่ในระดับเกือบเท่ากับคนที่ไม่เคยสูบบุหรี่เลย
แต่เขาบอกว่าปัญหาก็คือผู้สูบบุหรี่ที่อายุมากแล้วไม่ค่อยเห็นความจำเป็นเร่งด่วนในการเลิกสูบบุหรี่
คุณ Lam ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าคนเหล่านี้มัวแต่ผลัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อยๆ แม้แต่บางคนที่ป่วยเป็นมะเร็งปอด ก็ยังไม่ยอมเลิกสูบบุหรี่ ทั้งๆที่การเลิกบุหรี่จะเป็นผลดีต่อการบำบัดมะเร็งก็ตาม
ผู้เชี่ยวชาญประมาณว่าการสูบบุหรี่เป็นสาเหตุให้ผู้ชายทั่วโลกสิบสองเปอร์เซ็นต์เสียชีวิตและผู้หญิงทั่วโลกหกเปอร์เซ็นต์เสียชีวิต และหากคนจำนวนมากยังไม่เลิกสูบบุหรี่ คาดว่าจะมีคนเสียชีวิตจากโรคที่เกี่ยวข้องกับบุหรี่เป็นรายที่หนึ่งพันล้านภายในปลายคริสตศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด
บทความเกี่ยวกับผลกระทบจากการสูบบุหรี่ต่อคนสูงอายุ พร้อมกับข้อคิดเห็นของ T.H. Lam ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัย University of Hong Kong ตีพิมพ์ในวารสาร Archives of Internal Medicine เมื่อเร็วๆนี้