การที่เจ้าหน้าที่ของอังกฤษและดูไบตรวจพบวัตถุระเบิดที่ซุกซ่อนอยู่ในกระบอก Ink Toner ของเครื่องพิมพ์เอกสาร ซึ่งมีต้นทางจากเยเมนไปยังโบสถ์สองแห่งของชาวยิวในนครชิคาโกเมื่อเดือนตุลาคม ทำให้เจ้าหน้าที่ด้านความปลอดภัยของสหรัฐฯ ต้องทบทวนมาตรการเกี่ยวกับการตรวจสอบสินค้าที่ส่งทางอากาศจากต่างประเทศเข้าไปยังสหรัฐฯ และคณะกรรมาธิการด้านความมั่นคงปลอดภัยแห่งมาตุภูมิของวุฒิสภาสหรัฐฯ เพิ่งจะเปิดรับฟังการแถลงข้อมูลในเรื่องนี้
โดยวุฒิสมาชิก Joe Liberman ประธานคณะกรรมาธิการชุดนี้กล่าวว่า ดูเหมือนว่าผู้ก่อการร้ายจะเดินนำหน้าฝ่ายรักษาความปลอดภัยของสหรัฐฯ ไปอีกหนึ่งก้าวเช่นเคย ด้วยการฉวยประโยชน์จากจุดอ่อนที่มีอยู่ในระบบการตรวจสินค้าที่ส่งทางอากาศมาจากต่างประเทศ ส่วนวุฒิสมาชิกหญิง Susan Collins ก็กล่าวว่าเรื่องนี้แสดงว่าผู้ก่อการร้ายไม่ลดละความพยายาม ในการใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนต่างๆ และว่าสหรัฐฯ รอดพ้นจากการโจมตีมาได้หลายครั้ง เนื่องจากความโชคดีเป็นส่วนใหญ่
ส่วนนาย Alan Bersin ผู้อำนวยการสำนักงานศุลกากรและการคุ้มครองพรมแดนของสหรัฐฯ (U.S. Customs and Border Protection) แถลงว่าหน่วยงานของตนต้องตรวจตราสัมภาระและพัสดุต่างๆ ที่ส่งทางอากาศจากต่างประเทศเข้าไปยังสหรัฐฯ ปีละราว 57 ล้านชิ้น และว่าระเบียบปฏิบัติที่มีอยู่ ซึ่งกำหนดให้มีการแจ้งรายการสินค้าล่วงหน้าสี่ชั่วโมงก่อนที่จะเดินทางเข้าไปยังสหรัฐฯ นั้นยังไม่เพียงพอ และควรต้องเพิ่มเวลาของการแจ้งล่วงหน้าให้นานมากขึ้น ทางด้านนาย John Pistole ผู้อำนวยการหน่วยงาน TSA ซึ่งรับผิดชอบด้านความมั่นคงปลอดภัยของการเดินทางทางอากาศในสหรัฐฯ กล่าวเกี่ยวกับการร้องเรียนเรื่องการละเมิดความเป็นส่วนตัวจากผู้เดินทางที่ถูกตรวจค้นร่างกาย ด้วยการตบตรวจหรือด้วยเทคโนโลยีที่ช่วยให้เห็นภาพทั้งหมดของร่างกายและสิ่งของที่อาจถูกซุกซ่อนอยู่ว่า การตรวจจะทำโดยเจ้าหน้าที่ที่เป็นเพศเดียวกับผู้เดินทาง และเหตุผลเรื่องความเชื่อทางศาสนาจะไม่สามารถใช้เป็นข้ออ้างเพื่อยกเว้นการตรวจนี้ได้ ซึ่งถ้าผู้เดินทางคนใดไม่ยอมให้ตรวจก็จะไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นเครื่องบิน ผู้อำนวยการหน่วยงาน TSA ขอให้สาธารณชนอเมริกันอดกลั้นและเข้าใจมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดขึ้นนี้ โดยปกติแล้วเทศกาล Thanksgiving หรือวันขอบคุณพระเจ้าของสหรัฐฯ ปลายเดือนพฤศจิกายนจะเป็นช่วงสุดสัปดาห์ที่มีผู้เดินทางทางอากาศมากที่สุดในรอบปี
