แม้ช่วงคริสต์มาสและปีใหม่จะเป็นเวลาที่คนอเมริกันส่วนใหญ่กำลังทำบัญชีรายชื่อของขวัญที่ต้องซื้อให้แก่ญาติสนิทมิตรสหาย แต่สำหรับอีกหลายๆคน รายชื่อคนที่ต้องให้เงินตอบแทนการบริการหรือทิป อาจจะยาวกว่ารายชื่อของขวัญเสียอีก
คุณ Kimberly Palmer ผู้เขียนหนังสือแนะแนวสำหรับคนรุ่นใหม่เกี่ยวกับการใช้จ่าย การลงทุนและการให้สิ่งตอบแทน มีคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญว่า ผู้ทำงานบริการสาขาอาชีพใดบ้างที่ควรได้รับเงินทิปในช่วงเทศกาลปีใหม่เป็นจำนวนเท่าใด และใครบ้างที่ไม่ต้องให้ทิปก็ได้
พนักงานไปรณีย์คือกลุ่มแรกที่ควรได้รับทิป แต่เนื่องจากมีธรรมเนียมว่าพนักงานไปรณีย์สามารถรับเงินทิปได้ครั้งละไม่เกิน 20 ดอลล่าร์หรือราว 600 บาท คุณ Judith Bowman ผู้ก่อตั้งบริษัทที่ปรึกษาระหว่างประเทศ Protocol Consultants International จึงแนะนำว่าควรให้ทิปไม่เกิน 20 ดอลล่าร์ หรืออาจให้เป็นบัตรกำนัลหรือของขวัญเล็กๆน้อยก็ดูจะเข้าทีดี
คนส่งหนังสือพิมพ์ควรได้รับเงินทิปประมาณ 10-20 ดอลล่าร์เช่นกัน เพราะเชื่อว่าจะช่วยให้หนังสือพิมพ์ในปีหน้ามาถึงตรงเวลาทุกเช้าไม่ว่าอากาศจะหนาวหรือฝนตกหนักแค่ไหน เช่นเดียวกับกลุ่มพนักงานเก็บขยะ เพราะถ้าไม่มีพวกเขาขยะหน้าบ้านของพวกเราก็คงดูไม่จืดแน่นอน
กลุ่มที่ควรได้เงินตอบแทนบริการมากขึ้นมาหน่อยก็คือ คุณครูอนุบาลของเด็กๆ หรือคนเลี้ยงเด็ก ซึ่งผู้เชี่ยวชาญบอกว่าควรให้ทิปอย่างน้อยคนละ 100 ดอลล่าร์ อย่างน้อยก็เป็นการรับประกันว่าลูกๆของเราจะได้รับการดูแลเอาใจใส่ที่ดี รวมทั้งคนทำความสะอาดบ้านประจำวันหรือประจำสัปดาห์ที่น่าจะได้รับเงินโบนัสพิเศษเพิ่มอีกหนึ่งเดือน นอกจากนี้ พนักงานยกกระเป๋า พนักงานเปิดประตูตามตึกหรือโรงแรมต่างๆ คนทำผมเจ้าประจำ ครูฝึกสอนกายบริหารหรือโยคะ ล้วนเป็นกลุ่มที่สมควรได้รับเงินทิปราว 20% เพิ่มเติมจากค่าใช้บริการแต่ละครั้ง มากน้อยขึ้นอยู่กับความถี่ของการใช้บริการในปีที่ผ่านมา
สำหรับกลุ่มที่คุณ Bowman บอกว่าไม่ต้องให้เงินทิปก็คงจะไม่เป็นไร ได้แก่เจ้าของกิจการที่เราไปใช้บริการ เช่นเจ้าของร้านเสริมสวยหรือร้านอาหารเจ้าประจำ พนักงานที่มีเงินเดือน พนักงานขายหรือพนักงานบริการต่างๆที่คิดรวมค่าบริการไว้ในใบเสร็จเก็บเงินแล้ว
คุณ Judith Bowman มีคำแนะนำสุดท้ายว่า การให้เงินทิปในอัตรา 10-15% เป็นเรื่องเก่าล้าสมัยไปแล้ว ปัจจุบันเงินตอบแทนที่ให้ควรมีอัตราไม่ต่ำกว่า 20%