ลิ้งค์เชื่อมต่อ

สิงคโปร์เล็งสร้างเกาะเทียม รับมือน้ำทะเลหนุน


พื้นที่บริเวณมารีนา เบย์ และเมอร์ไลออน หนึ่งในสัญลักษณ์ของสิงคโปร์ (ที่มา: AP)
พื้นที่บริเวณมารีนา เบย์ และเมอร์ไลออน หนึ่งในสัญลักษณ์ของสิงคโปร์ (ที่มา: AP)

สิงคโปร์ผุดโครงการสร้างเกาะเทียมที่ชายฝั่งตะวันออก พร้อมโครงสร้างป้องกันระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นปัญหาสำหรับประเทศนี้มายาวนาน

โครงการดังกล่าวมีชื่อว่า “ลอง ไอส์แลนด์ (Long Island)” ซึ่งจะเป็นการก่อสร้างเกาะเทียมขึ้นมาสามแห่ง แล้วเชื่อมต่อกันไว้ด้วยประตูน้ำและสถานีสูบน้ำ โดยเกาะเทียมนี้จะมีความสูงกว่าตัวแผ่นดินของสิงคโปร์เพื่อเป็นกำแพงป้องกันระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น

เบนจามิน ฮอร์ตัน ผู้อำนวยการองค์กร Earth Observatory of Singapore ระบุว่า “สิงคโปร์เป็นประเทศที่มีพื้นที่ลุ่มต่ำ บริเวณหนึ่งในสามของพื้นผิวดิน มีความสูงเพียงแค่หนึ่งเมตรเหนือระดับน้ำทะเล ดังนั้นปริมาณน้ำท่วมชายฝั่งก็จะมีเพิ่มขึ้น”

รายละเอียดของโครงการ “ลอง ไอส์แลนด์” ถูกเปิดเผยโดยรัฐมนตรีกระทรวงการพัฒนาแห่งชาติ เดสมอนด์ ลี โดยระบุว่าปัญหาเรื่องระดับน้ำทะเล เป็น “ภัยคุกคามต่อการดำรงอยู่ของสิงคโปร์” ที่จะทำให้พื้นที่บางส่วนของเกาะ “เสี่ยงที่จะถูกน้ำทะเลท่วม”

นายกรัฐมนตรี ลี เซียน ลุง แห่งสิงคโปร์ เคยกล่าวถึงปัญหาเรื่องภาวะสภาพอากาศแปรปรวนว่าเป็นเรื่อง “ความเป็นความตาย”

โครงการทั้งหมดจะขยายพื้นที่ออกไปประมาณ 800 เฮกตาร์ (8 ตร.กม.) หรือราวสองเท่าของโครงการพัฒนามารีนา เบย์ ภายใต้แผนงาน จะมีการก่อสร้างพื้นที่กักเก็บน้ำบริเวณชายฝั่งตะวันออก พร้อมสถานีสูบน้ำเพื่อป้องกันน้ำทะเลในวันที่ระดับน้ำหนุนสูง รวมถึงใช้สูบน้ำส่วนเกินที่มากับพายุ

การศึกษาเพิ่มเติมในทางวิศวกรรมและผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมจะเริ่มต้นขึ้นในช่วงต้นปีหน้า รวมถึงการรับฟังความเห็นสาธารณะที่จะมีขึ้นในอนาคต โดยกระบวนการทั้งหมด มีการประเมินว่าจะใช้เวลาประมาณห้าปี

โครงการถมทะเลไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับประเทศเกาะที่มีประชากรเกือบ 6 ล้านคนแห่งนี้ เพราะที่ผ่านมาสิงคโปร์ใช้จ่ายเงินไปกับการนำเข้าทรายจากมาเลเซียและอินโดนีเซียมาถมทะเลเพิ่มพื้นที่อยู่หลายครั้ง ก่อนที่ทั้งสองชาติจะออกมาตรการห้ามส่งออกทรายให้อีก

รายงานจากองค์การสหประชาชาติในปี 2019 ระบุว่าสิงคโปร์ครองแชมป์ผู้นำเข้าทรายรายใหญ่ที่สุดในโลกมาเป็นเวลายาวนานกว่าสองทศวรรษ

โครงการถมทะเลไม่เพียงมีต้นทุนในทางค่าใช้จ่าย แต่ยังมีต้นทุนผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมด้วย สตีเฟน เบ็ง ประธานกลุ่ม Friends of Marine Park Community ระบุว่า โครงการถมทะเลที่ผ่านมาทำให้สิงคโปร์สูญเสียแนวปะการังไปแล้ว 60% นอกจากนั้น สิ่งมีชีวิตในแนวปะการังและชายฝั่งที่เสียหายไปก็ไม่ฟื้นตัวกลับมา

ด้านฮอร์ตัน จาก Earth Observatory of Singapore กล่าวว่า ปัญหาที่แท้จริงของสิงคโปร์คืออุณหภูมิโลกและการปล่อยก๊าซคาร์บอนที่เพิ่มสูงขึ้นซึ่งมีผลต่อระดับน้ำทะเล ที่หากปล่อยให้เกินการควบคุม ก็จะส่งผลกระทบจนโครงการก่อสร้างไม่มีค่าอะไร

มีการคาดการณ์ว่าระดับน้ำทะเลเฉลี่ยรอบสิงคโปร์ จะเพิ่มขึ้นสูงสุด 1 เมตร และอุณหภูมิเฉลี่ยจะสูงขึ้นประมาณ 1.4 - 4.6 องศาเซลเซียส ภายในปี 2100

“ระดับน้ำทะเลจะเพิ่มอย่างรวดเร็ว คุณจะไม่สามารถสร้างอะไรเพื่อปรับตัวได้อย่างรวดเร็วพอ” ฮอร์ตันกล่าว

  • ที่มา: VOA

กระดานความเห็น

XS
SM
MD
LG