นาง Barbara Bodine อดีตทูตสหรัฐฯ ประจำเยเมนกล่าวว่าในบรรดาประเทศต่างๆ ซึ่งรอดพ้นจากการประท้วงเรียกร้องให้มีความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง อย่างเช่นที่เกิดขึ้นในอียิปต์และตูนีเซียนั้น ซาอุดิอารเบียเป็นประเทศที่เธอเป็นกังวลมากที่สุด เพราะซาอุดิอารเบียมีเครื่องบ่งชี้พื้นฐานของความไม่สงบอย่างที่เห็นในประเทศอื่นๆ นั่นคือการมีผู้นำซึ่งอายุมากแล้วและมีแนวคิดไม่ยอมรับความเปลี่ยนแปลง รวมทั้งการที่สังคมมีคนรุ่นหนุ่มสาวมาก มีช่องว่างด้านรายได้ และมีปัญหาการว่างงาน เป็นต้น ส่วนนาย Emile Nakhleh อดีตผู้อำนวยการโครงการการเมืองอิสลามของ CIA ชี้ว่า สัญญาณบ่งชี้ที่จะเป็นอันตรายซึ่งน่าจับตามอง คือการประท้วงซึ่งอาจมีขึ้นนอกเขตจังหวัด Eastern Province ที่ชาวมุสลิมนิกายชีอะต์อาศัยอยู่ เช่นในเมืองใหญ่อย่างเจดดาห์ที่ซึ่งชาวเมืองมีแนวคิดค่อนข้างก้าวหน้า เป็นต้น เขาบอกด้วยว่าซาอุดิอารเบียขณะนี้เปรียบเสมือนช้างหนักสองตันที่ยืนอยู่ในห้องแต่ไม่มีใครอยากพูดถึง
ซาอุดิอารเบียเป็นประเทศที่ปกครองโดยชาวมุสลิมนิกายสุหนี่ที่มีแนวคิดแบบอนุรักษ์นิยมและไม่ค่อยยอมรับการเปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตามได้มีซาอุดิอารเบียกว่า 200 คนจากหลายอาชีพถวายฎีกาต่อกษัตริย์อับดุลลาห์ เรียกร้องความเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆ เช่นในรัฐธรรมนูญ เรื่องอำนาจหน้าที่ในการออกกฎหมายของสภา รวมทั้งความเป็นอิสระของระบบตุลาการ เป็นต้น แต่คุณ Barbara Bodine ชี้ว่ากษัตริย์อับดุลลาห์ของซาอุดิอารเบียอาจไม่สามารถตอบสนองข้อเรียกร้องทางการเมืองเหล่านี้ได้ เพราะสังคมซาอุดิอารเบียขาดสถาบันทางการเมืองที่เหมาะสมที่จะช่วยรองรับความเปลี่ยนแปลง
ในขณะนี้ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าสหรัฐฯ จะมีท่าทีอย่างไรหากเกิดเหตุการณ์ไม่สงบทางการเมืองขึ้นในซาอุดิอารเบีย ซึ่งเป็นพันธมิตรที่สำคัญของสหรัฐฯ ในตะวันออกกลาง แต่ก็มีความเกรงกันว่าหากเกิดความไม่สงบในซาอุดิอารเบีย ประเทศซึ่งส่งออกน้ำมันมากเป็นอันดับสองของโลกรองจากรัสเซีย ราคาน้ำมันในตลาดโลกอาจถีบตัวสูงขึ้นอีกมาก
