รัฐบาลฟิลิปปินส์บรรลุข้อตกลงสันติภาพเบื้องต้นกับกลุ่มกบฎมุสลิมกลุ่มใหญ่ที่สุด

ภายใต้ข้อตกลงสันติภาพฉบับใหม่ระหว่างรัฐบาลฟิลิปปินส์กับกลุ่มต่อต้านรัฐบาล จะมีการจัดตั้งหน่วยงานรัฐบาลขึ้นใหม่ในเขตภาคตะวันตกเฉียงใต้ของฟิลิปปินส์ที่ซึ่งประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม บรรดากลุ่มกบฎมุสลิมต่างเชื่อว่าพื้นที่ส่วนนี้ของเกาะมินดาเนาเป็นพื้นที่ที่ชาวมุสลิมครอบครองมาแต่ครั้งอดีตกาล แต่ในการเจรจาสันติภาพครั้งล่าสุดดูเหมือนกลุ่มกบฎ Moro Islamic Liberation Front และกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงกลุ่มอื่นๆ จะยินยอมผ่อนปรนในเจตนารมณ์เรื่องการแบ่งแยกดินแดนดังกล่าว

ประธานาธิบดี Benigno Aquino กล่าวว่าข้อตกลงสันติภาพฉบับนี้จะช่วยนำไปสู่การสร้างสันติภาพขั้นสุดท้ายบนเกาะมินดาเนา โดยกล่าวว่ามือที่เคยถือปืนไรเฟิล จะเปลี่ยนเป็นมือที่ทำการเกษตร ค้าขาย ทำงาน และเปิดประตูแห่งโอกาสให้กับพลเมืองคนอื่นๆ

เกาะมินดาเนามีดินอุดมสมบูรณ์และได้ชื่อว่าเป็นแหล่งอาหารของฟิลิปปินส์ นอกจากนี้ยังมีแร่ธาตุมากมายเช่นทองแดงและทองคำ แต่การสู้รบตลอด 40 ปีที่ผ่านมาทำให้ไม่มีการลงทุนในพื้นที่นี้

องค์กรปกครองใหม่ของรัฐบาลที่จะตั้งขึ้นในภาคตะวันตกเฉียงใต้ของฟิลิปปินส์จะมีอำนาจในการเก็บภาษีและมีระบบจัดสรรรายได้ของตัวเอง รวมทั้งจะมีการพัฒนาระบบศาลประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวควบคู่ไปกับการขยายระบบ Shari’ah ซึ่งเป็นระบบกฎหมายของอิสลาม ส่วนรัฐบาลฟิลิปปินส์จะเป็นผู้ควบคุมดูแลเรื่องการป้องกันประเทศ ความมั่นคง นโยบายต่างประเทศ นโยบายการเงินการคลัง สิทธิความเป็นพลเมืองและระบบไปรษณีย์

นาย Ghazali Jaafar รองหัวหน้ากลุ่ม Moro Islamic Liberation Front บอกว่าตนพอใจอย่างมากกับสิ่งที่ร่างไว้ในข้อตกลง แต่ก็เชื่อว่ายังมีอุปสรรคบางอย่างรออยู่ เขาไม่เชื่อว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นทันทีในชั่วข้ามคืน อีกทั้งมิได้คาดหวังไว้สูงนักกับข้อตกลงฉบับนี้ ดังจะเห็นได้จากตัวอย่างในอดีต เช่นเมื่อ 4 ปีก่อนขณะที่รัฐบาลกับกลุ่มกบฎกำลังหารือข้อตกลงครั้งสุดท้าย ศาลรัฐธรรมนูญได้ตัดสินว่าบางส่วนของข้อตกลงฉบับนั้นจัดกับหลักรัฐธรรมนูญ ทำให้เกิดความไม่พอใจและนำไปสู่ความรุนแรงที่มีประชาชนเสียชีวิตหลายร้อยคน

อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่รัฐบาลฟิลิปปินส์เชื่อว่าปัจจุบันรัฐบาลอยู่ในสถานะที่ดีกว่าในอดีต ในการต่อรองกับกลามกบฎเพื่อสร้างสันติภาพบนเกาะมินดาเนา โดยการลงนามในข้อตกลงสันติภาพฉบับใหม่นี้คาดว่าจะมีขึ้นในวันที่ 15 ต.ค และเชื่อว่าจะมีผลบังคับใช้ภายในปี พ.ศ 2559 หรืออีก 4 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นเวลาที่วาระการดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดี Benigno Aquino หมดลงพอดี