ลิ้งค์เชื่อมต่อ

สารนิโคตินช่วยเพิ่มฤทธิ์เสพติดของโคเคน


สารนิโคตินช่วยเพิ่มฤทธิ์เสพติดของโคเคน
สารนิโคตินช่วยเพิ่มฤทธิ์เสพติดของโคเคน

ผลการศึกษาชิ้นใหม่จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบียเมื่อเร็วๆนี้พบว่าการสูบบุหรี่มีบทบาทเสริมฤทธิ์เสพติดของยาโคเคน ผลการศึกษานี้ชี้ว่าสารนิโคตินมีฤทธิ์ทางชีววิทยาที่ไปเสริมให้ร่างกายผู้สูบบุหรี่ติดสารโคเคนได้ง่ายกว่าผู้ไม่สูบบุหรี่

คุณอาเมีย เล็ฟวีน หนึ่งในสมาชิกทีมวิจัยกล่าวว่าหลายคนเชื่อในสมมุติฐานที่ว่าวัยรุ่นเริ่มดื่มเหล้าและสูบบุหรี่ก่อนที่จะต่อไปที่กัญชาและสารเสพติดอื่นๆเพราะว่าต้องการเข้าสังคม แต่ทีมวิจัยของเขาต้องการพิสูจน์ด้วยว่าสารเสพติดแต่ละตัวมีผลทางชีววิทยาทำให้ร่างกายต้องการเสพสารเสพติดตัวอื่นในเวลาต่อมาหรือไม่


เพื่อหาคำตอบ คุณอาเมีย เล็ฟวีนกับทีมวิจัยที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบียเริ่มทำการทดลองในหนูทดลอง พวกเขาเติมสารนิโคตินลงไปในน้ำดื่มของหนูแล้วฉีดยาโคเคนเข้าไปในกระแสเลือดหนูทดลอง ก่อนจะเปรียบเทียบพฤติกรรมของหนูทดลองที่ได้รับสารนิโคตินร่วมกับยาโคเคนกับกลุ่มหนูทดลองอีกกลุ่มหนึ่งที่ได้รับแค่ยาโคเคนอย่างเดียว

คุณอาเมีย เล็ฟวีน บอกว่าผลการทดลองพบว่าพฤติกรรมของหนูกลุ่มที่ได้รับสารนิโคตินก่อนได้รับสารโคเคนเปลี่ยนแปลงไปมากกว่ากลุ่มหนูทดลองที่ได้รับเฉพาะโคเคนอย่างเดียว เขาบอกว่าแม้ปริมาณสารนิโคตีนจะน้อยนิดแต่มีผลทางชีววิทยาต่อร่างกาย

ทางด้านคุณอีริค คานเดล ผู้ร่วมร่างรายงานผลการวิจัยและผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาการแพทย์เมื่อปีค.ศ. 2000 กล่าวเสริมว่าสารนิโคตินยังช่วยเพิ่มผลทางชีวิทยาของโคเคนที่มีต่อร่างกายมากขึ้นกว่าเดิม นี่ช่วยอธิบายได้ว่าทำไมคนที่ติดสารนิโคตินในบุหรี่จึงลองเสพโคเคนเป็นอันดับต่อไปเพราะว่าเมื่อคนสูบบุหรี่ได้ลองโคเคนจะรู้สึกติดใจทันที

คุณอาเมีย เล็ฟวีน บอกว่า สารนิโคตีนมีผลโดยตรงต่อดีเอ็นเอ โดยเฉพาะต่อดีเอ็นเอตัวที่เกี่ยวข้องกับการเสพติด เขาบอกว่ามีผลการศึกษาเกี่ยวกับสารนิโคตินกับผู้ใช้โคเคนเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้วโดยคุณเดนนิส คานเดล ที่ยืนยันว่าหากเริ่มสูบบุหรี่ก่อนที่จะใช้โคเคน จะมีโอกาสติดยาโคเคนสูงกว่าปกติ ในขณะเดียวกัยผู้ที่ใช้โคเคน แต่ไม่ได้สูบบุหรี่ก่อนหน้านั้น มีโอกาสติดโคเคนน้อยลง

คุณอีริค คานเดล ผู้ร่วมร่างผลการวิจัยบอกว่าผลการทดลองนี้ช่วยให้เข้าใจกระบวนการทางชีววิทยาของการเสพติดมากขึ้นและน่าจะนำไปสู่การพัฒนาวิธีบำบัดอาการเสพติดให้มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม

ผลการวิจัยนี้ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Science Translational Medicine เมื่อเร็วๆนี้ โดยรายงานผลการวิจัยเน้นความจำเป็นของการรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่ที่มีประสิทธิภาพมากกว่าในปัจจุบันโดยเฉพาะในกลุ่มคนหนุ่มสาว

XS
SM
MD
LG