นายกรัฐมนตรีฮังการี Victor Orban เดินทางเยี่ยมหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ถูกโคลนพิษทะลักทำลายบ้านเรือนและถนนหนทาง พร้อมระบุว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ถือเป็นหายนะครั้งใหญ่ และเป็นโศกนาฎกรรมต่อระบบนิเวศน์ครั้งแรกและอาจเป็นครั้งรุนแรงที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นในฮังการี
โคลนพิษสีแดงที่รั่วไหลออกมาจากอ่างกักเก็บของโรงงานอลูมิเนียมแห่งหนึ่งในฮังการีได้ทะลักมาถึงแม่น้ำดานูบแล้ว โดยก่อนหน้านี้โคลนพิษได้ทำลายระบบนิเวศน์ทั้งมวลของแม่น้ำ Marcul ซึ่งเป็นแม่น้ำสายแรกที่ปนเปื้อนโคลนพิษ
แนวเขื่อนของอ่างกักเก็บโคลนพิษแตกออกเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ผู้คนอย่างน้อย 4 คนเสียชีวิตและบาดเจ็บอีกมากกว่า 10 คนเมื่อโคลนพิษสีแดงล้นทะลักท่วมหมู่บ้านหลายแห่งในบริเวณนั้น โคลนพิษดังกล่าวคือกากของเสียจากบ็อกไซต์ซึ่งเป็นแร่ที่ประกอบอยู่ในอลูมิเนียม และมีผลให้เกิดอาการระคายเคืองตาและไหม้ผิวหนังได้
รัฐบาลฮังการีประกาศภาวะฉุกเฉินใน 3 ตำบลเมื่อวันอังคาร และเริ่มกระบวนการสืบสวนเหตุการณ์รั่วไหลครั้งนี้ คุณ Joe Lowry แห่งองค์กรกาชาดสากลคือผู้หนึ่งที่เข้าตรวจเยี่ยมพื้นที่ประสบภัย คุณ Lowry บอกว่าประชาชนบางคนเปรียบหายนะครั้งนี้เหมือนคลื่นสึนามิขนาดย่อมๆ ซึ่งทะลักจากโรงงานมายังหมู่บ้านที่ห่างออกไป 2 กิโลเมตรในเวลาเพียง 30 นาที และมีความสูงถึง 2 เมตร เจ้าหน้าที่กาชาดสากลผู้นี้ยังบอกด้วยว่าผลกระทบมิได้เกิดขึ้นต่อสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังเป็นโศกนาฏกรรมของชุมชนชาวฮังการีแถบนั้นด้วย
คุณ Lowry บรรยายภาพโคลนสีแดงกว้างไกลสุดสายตาไหลท่วมหมู่บ้าน Colontar ว่าเป็นภาพที่น่าตกใจอย่างยิ่ง ผู้คนได้แต่ยืนมองโคลนสีแดงนั้นทะลักทำลายบ้านเรือนของตนอย่างสับสนและตื่นตะลึง เรือกสวนไร่นาต่างปกคลุมด้วยโคลนหนา สะพานขาดสองท่อน น้ำในแม่น้ำกลายเป็นสีเลือด
กลุ่มรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อม Greenpeace ระบุว่าเหตุการณ์ครั้งนี้คือ1 ใน 3 มหันตภัยด้านสิ่งแวดล้อมครั้งเลวร้ายที่สุดในยุโรปในรอบหลายสิบปี ซึ่งโคลนพิษที่ทะลักลงสู่แม่น้ำดานูบอาจส่งผลกระทบต่อหลายประเทศ ได้แก่โครเอเชีย เซอร์เบีย โรมาเนีย บัลแกเรีย ยูเครนและมอลโดว่า ก่อนที่จะไหลรวมลงสู่ทะเลดำ