องค์การแรงงานระหว่างประเทศหรือ ILO รายงานว่าปัจจุบันมากกว่าครึ่งหนึ่งของแรงงานเด็กทั่วโลกที่คาดว่ามีจำนวนราว 215 ล้านคน ตกอยู๋ภายใต้สภาพแวดล้อมการทำงานที่เป็นอันตราย และว่าในแต่ละวันมีแรงงานเด็กทั่วโลกอย่างน้อย 1 คนเจ็บป่วยจากอุบัติเหตุ โรคร้ายหรือถูกกระทบกระเทือนทางจิตใจสืบเนื่องมาจากการทำงาน
รายงานของ ILO ชิ้นนี้ชี้ว่างานที่ถือว่าอันตรายที่สุดสำหรับเด็กนั้น ได้แก่งานในภาคการเกษตร การประมง งานรับใช้ภายในบ้าน งานทำเหมือง และงานในธุรกิจบริการต่างๆ
คุณ Constance Thomas เจ้าหน้าที่ ILO ผู้จัดทำรายงานชิ้นนี้อธิบายถึงสภาพแวดล้อมการทำงานที่เป็นอันตรายต่อเด็กว่า หมายถึงงานที่อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพและการพัฒนาทางจิตใจและสมองของเด็กๆ งานที่แสวงหาประโยชน์จากเด็กๆอย่างไม่ถูกต้อง งานที่เกี่ยวข้องกับการบริการทางเพศ งานที่ต้องสัมผัสสารเคมี ตลอดจนการทำงานเป็นเวลานานหลายชั่วโมง ต้องทำงานซ้ำซากหรือถูกแยกให้ทำงานอย่างโดดเดี่ยว คุณ Thomas ระบุว่าสมองของเด็กๆต้องการการกระตุ้นทางสังคม หากเด็กถูกแยกให้ทำงานคนเดียวและต้องทำงานแบบซ้ำๆวนเวียนอยู่ตลอดเวลา จึงเป็นการขัดขวางพัฒนาการทางสมองของเด็ก
รายงานชิ้นนี้ยังบอกด้วยว่าปัญหาอันตรายจากการทำงานสำหรับแรงงานเด็กนั้นมิได้เกิดขึ้นเฉพาะแต่ในประเทศกำลังพัฒนาเท่านั้น แต่ประเทศพัฒนาแล้วในยุโรปและในสหรัฐก็ปรากฏหลักฐานว่ามีเยาวชนจำนวนมากประสบอุบัติเหตุจากงานต่างๆเช่นกัน รายงานของ ILO ระบุว่าเด็กที่ต้องทำงานอันตรายนั้นส่วนใหญ่อยู่ในประเทศแถบเอเชียและแปซิฟิก แต่คุณ Frank Hagemann ผู้เชี่ยวชาญปัญหาแรงงานเด็กของ ILO ชี้ว่าจริงๆแล้วปัญหาดังกล่าวในประเทศแถบทางใต้ของทะเลทรายซาฮาร่าในอาฟริกายิ่งรุนแรงกว่าปัญหาในเอเชียหรืออเมริกาใต้หลายเท่า โดยเฉพาะในภาคการเกษตรในอาฟริกา
อย่างไรก็ตาม รายงานของ ILO ยืนยันว่าได้มีความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาที่ว่านี้แล้วในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เห็นได้จากมีเด็กที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มแรงงานเด็กภายใต้สภาพแวดล้อมที่ย่ำแย่ที่สุดลดลงราว 25-35% รายงานยังพบด้วยว่าจำนวนเด็กที่ทำงานอันตรายอายุระหว่าง 5-17 ปี ลดลงอย่างต่อเนื่องระหว่างปี ค.ศ 2004-2008 แต่สำหรับในกลุ่มเด็กอายุระหว่าง 15-17 ปีนั้น กลับพบว่าทำงานที่เสี่ยงอันตรายเพิ่มขึ้นราว 20% จากจำนวน 52 ล้านคนเป็น 62 ล้านคนในช่วงเดียว
ปัจจุบันรัฐบาลประเทศตะวันตกหลายประเทศรวมทั้งสหรัฐ พยายามใช้นโยบายคล่ำบาตรการนำเข้าสินค้าที่เชื่อว่ามีการใช้แรงงานเด็กในกระบวนการผลิต แต่นักวิจารณ์บางคนเชื่อว่านั่นเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ไม่ใช่การกำจัดต้นตอของปัญหา
