ประธานาธิบดีบารัค โอบาม่ากล่าวเมื่อประธานาธิบดี Hosni Mubarak ของอียิปต์ลาออกจากตำแหน่งไปว่า เสียงเรียกร้องของประชาชนได้รับการตอบสนอง
แต่ที่ บาห์เรน เยเมน ลิเบีย และ อิหร่าน ประชาชนยังกำลังเรียกร้องให้มีการรับฟังอยู่ต่อไป ท่ามกลางการปราบปรามของรัฐบาลที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตบ้างแล้ว
และแม้ประธานาธิบดีโอบาม่าจะกล่าวตำหนิการปราบปรามผู้ประท้วงในอิหร่าน แต่นักวิเคราะห์อย่างนาย James Phillips ของมูลนิธิ Heritage ซึ่งเป็น Think Tank แห่งหนึ่งในกรุงวอชิงตัน บอกว่า ประธานาธิบดีโอบาม่า ยังไปไม่ไกลพอ เขาให้ความเห็นว่า สหรัฐควรใช้พลังกดดันให้มากที่สุดต่อระบอบปกครองของประเทศเหล่านี้ เพื่อแยกระบอบปกครองกับประชาชนออกจากกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำได้โดยอาศัยให้คณะมนตรีความมั่นคง องค์การสหประชาชาติเพิ่มมาตรการลงโทษทางเศรษฐกิจ
แต่นโยบายต่างประเทศของสหรัฐสำหรับประเทศในตะวันออกกลาง แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ
ในขณะที่รัฐมนตรี Hillary Clinton ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐกล่าวในการให้สัมภาษณ์กับโทรทัศน์ Al-Hurra ของสำนักงานการกระจายเสียงระหว่างประเทศของสหรัฐว่า สำหรับประเทศที่เป็นพันธมิตร สหรัฐส่งข้อความที่แน่วแน่มั่นคงไปบอกว่า จะต้องมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งนาย James Zogby ของสถาบันอาหรับ-อเมริกัน บอกว่า ทำให้มองกันไปได้ว่า นโยบายของสหรัฐไม่มีความเสมอภาค
นาย James Zogby ของสถาบันอาหรับ-อเมริกัน กล่าวว่า รัฐบาลที่กำลังตกที่นั่งลำบาก คือรัฐบาลที่ให้การสนับสนุนสหรัฐ และที่สหรัฐยืนยันการสนับสนุนนั้นๆตามนโยบายของสหรัฐ มาตอนนี้จะให้เปลี่ยนข้าง จะทำให้ไม่น่าดูเลย ซึ่งผลก็คือ ประชาชนขุ่นเคืองสหรัฐที่สนับสนุนผู้เผด็จการ และผู้เผด็จการขุ่นเคืองสหรัฐที่สนับสนุนผู้ประท้วง เมื่อศูนย์ถ่วงเปลี่ยนไป
นักวิเคราะห์ผู้นี้ยังกล่าวไว้ด้วยว่า สหรัฐสูญเสียความเป็นที่น่าเชื่อถือเมื่อไม่ยอมตำหนิอิสราเอล และกระตุ้นให้กระบวนการสันติภาพในตะวันออกกลางก้าวหน้าต่อไปให้ได้
รัฐบาลสหรัฐชุดประธานาธิบดีโอบาม่า กล่าวแสดงความเชื่อมั่นว่า เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นได้แล้ว บรรดาผู้ประท้วงจะหันไปให้ความสนใจกับโอกาสใหม่ๆ แทนความรู้สึกต่อต้านสหรัฐและอิสราเอล
