ลิ้งค์เชื่อมต่อ

นักวิจัยชี้นโยบายกู้เงินลงทุนเพื่อให้เศรษฐกิจโตของจีนเพิ่มหนี้ นักเศรษฐศาสตร์คาดธนาคารกลางสหรัฐจะลดการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบเร็วๆนี้


นักวิจัยของสถาบันสังคมศาสตร์ของจีนกล่าวว่า นโยบายกู้เงินจำนวนมากเพื่อนำไปลงทุนให้เศรษฐกิจเติบโตของจีน เพิ่มภาระหนี้สินให้กับประเทศเป็นจำนวนมหาศาล โดยเฉพาะกับการปกครองท้องถิ่น และกล่าวว่า การทำให้เศรษฐกิจเติบโตในลักษณะนี้ จะยั่งยืนต่อไปไม่ได้

นักวิจัย Liu Yuhui ของสถาบันสังคมศาสตร์ของจีนประมาณว่า ปริมาณหนี้สินของประเทศโดยรวม คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ หรือ GDP น่าจะเพิ่มขึ้นราวๆ 16% ในปีที่แล้ว นสพ. Wall Street Journal อาศัยตัวเลขจากธนาคารกลางของจีนคำนวณว่า หนี้สินของจีนเทียบเป็นเปอรเซ็นต์ของ GDP ในปีที่แล้ว เท่ากับ 182% เพิ่มจาก 167% ในปีก่อนหน้านั้น

การปกครองท้องถิ่นต่างๆของจีนกู้เงินลงทุนในโครงการต่างๆในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจที่เริ่มต้นเมื่อห้าปีที่แล้ว เพื่อประคับประคองให้การเติบโตทางเศรษฐกิจดำเนินต่อไปได้ โดยมีสมมุติฐานว่ารัฐบาลกลางจะเข้าช่วยถ้าไม่สามารถชำระเงินคืนเองได้

ผู้นำจีนกล่าวซ้ำหลายครั้งแล้วว่า ภาระหนี้สินของการปกครองท้องถิ่นอยู่ในระดับที่จัดการได้ แต่นักวิจัย Liu Yuhui และนักเศรษฐศาสตร์อื่นๆอีกหลายคนกล่าวแสดงความข้องใจในการประเมินสภาพการณ์ของเจ้าหน้าที่รัฐบาล

ขณะเดียวกัน รัฐวิสาหกิจผู้บริหารหลักทรัพย์ China Orient Asset Management Corp เปิดเผยว่า ธนาคารพาณิชย์ของจีนกำลังประสบภาวะหนี้เสียเพิ่มขึ้น รายงานที่มีออกมาสัปดาห์นี้คาดว่า ปริมาณหนี้เสียของธนาคารพาณิชย์ในปีนี้จะเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วอีก 5%

ส่วนการแข่งขันในอุตสาหกรรม IT ของจีนมีความเข้มข้นมากขึ้น เมื่อ Tencent Holdings ยักษ์ใหญ่ในโลกอินเทอร์เน็ตของจีนกล่าวว่า จะซื้อหุ้นของ Sogou ผู้ให้บริการค้นหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต 36.5% คิดเป็นมูลค่า 448 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ บริการของ Sogou ถูกจัดไว้ในอันดับที่สามของความนิยม Sohu.com Inc. ผู้บริหาร Sogou ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่อยู่ต่อไป

ขณะนี้ ภาคเทคโนโลยีของจีนมีผู้เล่นรายใหญ่อยู่สามรายด้วยกัน Tencent ซึ่งระดมทุนไว้ได้มากกว่าหนึ่งแสนล้านดอลล่าร์ ครองตลาดเกมส์ออนไลน์ และบริการข้อความ QQ และ WeChat
ในขณะที่ Baidu เป็นผู้ให้บริการค้นหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตอันดับหนึ่ง ส่วน Alibaba Group เป็นผู้นำทาง E-commerce และเมื่อเร็วๆนี้ทำความตกลงร่วมมือกับ Sina Corp ซึ่งเป็นผู้บริหาร Weibo หรือ บริการ Twitter ของจีน

และที่สหรัฐ นักเศรษฐศาสตร์หลายคนคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐจะเริ่มลดปริมาณเงินที่อัดฉีดเข้าระบบเศรษฐกิจ เพื่อกระตุ้นให้เศรษฐกิจฟื้นตัวจากภาวะตกต่ำในเร็วๆนี้
เจ้าหน้าที่ระดับสูงของธนาคารกลางสหรัฐเริ่มการประชุมเป็นเวลาสองวันเมื่อวันอังคารเพื่อพิจารณาเรื่องนี้ และนักเศรษฐศาสตร์ Jim O’Sullivan ของ High Frequencies Economics บอกกับ VOA ว่า สัญญาณบ่งบอกที่มีชี้ว่าธนาคารกลางจะเริ่มลดโครงการซื้อพันธบัตร ซึ่งเวลานี้ ซื้ออยู่เดือนละ 8 หมื่น 5 พันล้านดอลล่าร์ โดยคาดว่าจะลดลงมาอยู่ที่ 7 หมื่น 5 พันล้านดอลล่าร์
อย่างไรก็ตาม แม้เศรษฐกิจสหรัฐจะฟื้นตัวขึ้นแล้ว อัตราการว่างงานก็ยังอยู่ที่ 7.3% ซึ่งยังสูงกว่าอัตราที่ถือว่าปกติ ซึ่งต่ำกว่า 6%

ธนาคารกลางสหรัฐจะประกาศผลการประชุมในวันพุธนี้
และสุดท้ายในวันนี้ รายงานของสำนักงานสำรวจสำมะโนประชากรของสหรัฐที่เผยแพร่ออกมาเมื่อวันอังคาร ระบุว่า อัตราคนยากจนในประเทศยืนอยู่ที่ 15% ในปีที่แล้ว เช่นเดียวกับปีก่อนหน้านั้น ซึ่งหมายความว่า มีคนอเมริกันมากกว่า 46 ล้านคนที่มีรายได้ต่ำกว่า 23,550 ดอลล่าร์ต่อปี หรือราวๆ 7 แสนสามหมื่นบาท สำหรับครอบครัวที่มีสมาชิกสี่คน ในขณะที่รายได้ค่ากลางสำหรับครัวเรือน ในปีที่แล้วอยู่ที่ 51,000 ดอลล่าร์ หรือ เกือบจะหนึ่งล้านหกแสนบาทต่อปี
ส่วนรายได้ค่ากลางของผู้หญิงที่ทำงานเต็มเวลา ก็ยังเท่ากับ 77% ของรายได้ของผู้ชายที่ทำงานเหมือนกันในเวลาเท่ากันอยู่ต่อไป
XS
SM
MD
LG