เหตุการณ์ทางด้านสิ่งแวดล้อมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในปีค.ศ. 2010 เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าบรรยากาศที่ห่อหุ้มโลกเปลี่ยนแปลงไปตามที่นักวิทยาศาสตร์พยากรณ์ไว้
นับตั้งแต่เริ่มมีการเก็บบันทึกอุณหภูมิโลกไว้เมื่อปี ค.ศ. 1880 หรือ 130 ปีที่แล้ว ปี ค.ศ. 2010 เป็นปีที่ร้อนที่สุด นั่นเป็นความเห็นของสำนักงานสมุทรศาสตร์และบรรยากาศโลก หรือ National Oceanic and Atmospheric Administration ของสหรัฐ และนาย Jonathan Lash ผู้อำนวยการสถาบัน World Resources บอกว่า เหตุการณ์ทางด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นในปีนี้เป็นสัญญาณบ่งชี้การเปลี่ยนแปลงบรรยากาศที่ห่อหุ้มโลก
ผู้อำนวยการสถาบัน World Resources กล่าวว่า ไฟไหม้ป่าครั้งใหญ่ในไซบีเรีย อุทกภัยในปากีสถาน และน้ำแข็งละลายใน Greenland ทั้งหมดนี้ สอดคล้องกับคำพยากรณ์ของนักวิทยาศาสตร์ที่ว่าเป็นผลมาจากการที่อุณหภูมิโลกสูงขึ้น
นาย Lester Brown ผู้อำนวยการสถาบัน Earth Policy ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยแห่งหนึ่งในกรุงวอชิงตัน กล่าวว่า ก่อนจะเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ในปากีสถานเมื่อเดือนกรกฎาคม อุณหภูมิในเอเชียพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ โดยเฉพาะบริเวณลุ่มแม่น้ำ Indus ในตอนใต้ของปากีสถานที่สูงขึ้นถึง 53 องศาเซลเซียส
นาย Lester Brown อธิบายว่า น้ำแข็งบนเทือกเขาหิมาลัยละลาย และผลที่ตามมาก็คือ น้ำท่วมในทางน้ำทุกสาขาของแม่น้ำ Indus
ปี 2010 นี้ ยังเป็นปีที่จีนก้าวหน้าผ่านสหรัฐ กลายมาเป็นผู้บริโภคพลังงานรายใหญ่ที่สุดในโลก แต่ในขณะเดียวกัน รัฐบาลจีนได้กำหนดมาตรฐานใหม่สำหรับการประหยัดพลังงานให้กับการปกครองท้องถิ่นและบริษัทธุรกิจ รวมทั้งยังสร้างระบบทางรถไฟความเร็วสูงที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วย
ในอีกด้านหนึ่ง ผู้แทนจาก 192 ประเทศ ไปประชุมเรื่องสิ่งแวดล้อมกันที่เมือง Cancun ในประเทศเมกซิโก และให้พันธกรณีอย่างเป็นทางการที่จะลดการปล่อยแก๊สเรือนกระจกและปกป้องป่าไม้ของโลก รวมทั้งจัดเงินทุนหนึ่งแสนล้านดอลล่าร์เพื่อช่วยประเทศยากจนในการปรับสภาพแวดล้อมของประเทศให้รับมือกับบรรยากาศโลกที่เปลี่ยนไป และนำเทคโนโลยีเขียวทางด้านพลังงานมาปรับใช้ด้วย
แต่นาย Kenneth Green นักวิเคราะห์ของสถาบัน American Enterprise ไม่เชื่อว่าการทำงานทางด้านนี้ภายในกรอบขององค์การสหประชาชาติจะได้ผล เขาเชื่อว่า การใช้นโยบายและการจัดตั้งสถาบันที่จะสร้างระบบเศรษฐกิจแข็งขันให้กับประเทศเหล่านั้น จะทำงานได้ผลดีกว่า
นอกจากเหตุการณ์เหล่านี้แล้ว เหตุการณ์น้ำมันรั่วในอ่าวเมกซิโกในปีค.ศ 2010 เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ยังไม่ยุติลงได้ง่ายๆ กองเรือรักษาชายฝั่งของสหรัฐรายงานว่า จนถึงขณะนี้ คนงาน 9,000 คนยังทำงานกำจัดคราบน้ำมันในบริเวณป่าชายเลนและตามชายหาดในอ่าวเมกซิโกอยู่ต่อไป
