องค์การอนามัยโลกประเมินว่าปัจจุบันมีผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์หรือโรคความจำเสื่อม ประมาณ 18 ล้านคนทั่วโลก และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าภายในปี ค.ศ.2025 ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะอยู่ในประเทศกำลังพัฒนา ในขณะที่ในอเมริกานั้น ประเมินว่า 1 ใน 8 ของคนอเมริกันมีโอกาสป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์ในอนาคต
ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของรัฐบาลสหรัฐรายงานว่า เวลานี้อเมริกากำลังมาถึงจุดเปลี่ยนสู่ยุคสมัยที่ประชากรส่วนใหญ่จะเป็นผู้สูงอายุ เนื่องจากคนรุ่นเบบี้บูมรุ่นแรกที่เกิดหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มีอายุผ่านเข้าสู่วัย 60 ปีไปแล้ว และในระยะเวลา 20 ปีต่อจากนี้ 1 ใน 5 ของคนอเมริกันจะเป็นประชากรผู้สูงอายุ ทำให้มีโอกาสที่ผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์หรือโรคความจำเสื่อมจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นมาก
Fran Hershkowitz ที่มีผู้ปกครองป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์ บอกว่าแค่นึกถึงก็น่ากลัวแล้ว หากตัวเองต้องป่วยเป็นโรคนี้ในอนาคต เนื่องจากโรคความจำเสื่อมนี้สามารถถ่ายทอดได้ทางพันธุกรรม
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แพทย์พยายามคิดค้นวิธีป้องกันหรือชะลอการเกิดโรคความ จำเสื่อม โรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด แต่คาดว่าการพยายามรักษาร่าง กายและจิตใจให้แจ่มใสกระตือรือร้นอยู่เสมอจะสามารถช่วยชะลอการเกิดโรคได้ ในขณะ เดียวกัน รายงานการทดลองล่าสุดแสดงให้เห็นว่า การออกกำลังกายอย่างสม่ำ เสมอก็สามารถช่วยได้เช่นกัน
นักวิทยาศาสตร์ทดลองโดยการแบ่งหนูเป็น 2 กลุ่ม หนูกลุ่มแรกให้ออกกำลังกายบ่อยๆ ในขณะที่กลุ่มที่ 2 ไม่ให้ออกกำลังกายเลย ผลการทดลองโดยการผ่าศพหนูเพื่อวินิจฉัย พบว่าหนูกลุ่มที่ได้ยืดเส้นยืดสายอยู่เสมอจะมีปริมาณโปรตีนสะสมที่อุดตันเส้นประสาทสมองน้อยกว่าหนูกลุ่มที่ไม่ได้ออกกำลังกายเลยประมาณ 50-80% โปรตีนสะสมดังกล่าวคือสารที่ก่อให้เกิดการสูญเสียความทรงจำ และแม้จนถึงเวลานี้วงการแพทย์จะยังไม่เคยมีการยืนยันผลการผ่าชันสูตรศพผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ แต่ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์เชื่อว่าผลการทดลองกับหนูครั้งนี้ หากนำมาใช้กับมนุษย์น่าจะได้ผลเช่นเดียวกัน
นายแพทย์ Ronald Peterson จากสถานพยาบาลมาโย แนะนำว่าการออกกำลังกายให้หัวใจเต้นถี่ๆประมาณ 30-45 นาที อย่างน้อย 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะช่วยลดโอกาสเกิดโรคความจำเสื่อมได้ ดีกว่าการรักษาทางการ แพทย์หรือการฝึกฝนความคิดความจำ และยังดีกว่าการพึ่งวิตามินเสริมหรือควบคุมอาหารการกินด้วย
และเนื่องจากโรคความจำเสื่อมนี้สามารถถ่ายทอดได้ทางพันธุกรรม คุณผู้ฟังท่านใดที่มีคุณพ่อคุณแม่หรือปู่ย่าตายายที่ป่วยเป็นโรคนี้อยู่ ได้ยินข่าวนี้แล้วควรจะรีบสวมรองเท้าผ้าใบ ใส่ชุดวอร์ม แล้วชวนผู้ปกครองและพี่ๆ น้องๆ ไปออกกำลังกายกันดีกว่า
