นายกรัฐมนตรีเยอรมัน อังเทล่า เมอเคล กล่าวต่อผู้สื่อข่าวนอกที่ประชุมสุดยอด ว่าการประนีประนอมรอมชอมดังกล่าวเป็นความคืบหน้าที่สำคัญ และว่าประเทศกลุ่ม G8 ตกลงให้ควบคุมการปล่อยก๊าซซึ่งทำให้โลกร้อนขึ้น และตกลงกันด้วยว่าจำเป็นจะต้องลดการปล่อยก๊าซเหล่านั้น กลยุทธ์ที่จะช่วยให้บรรลุเรื่องที่ว่านี้ได้นั้น จะต้องคิดทำกันในสหประชาชาติในปี พศ. 2552
นายกรัฐมนตรีเยอรมัน อังเทล่า เมอเคล ถือว่าภาวะโลกร้อนเป็นประเด็นที่สำคัญมากประเด็นหนึ่งสำหรับการประชุมสุดยอดครั้งนี้ แต่ท่านนายกรัฐมนตรีไม่สามารถทำให้สหรัฐเลิกละล้าละลังใจที่จะผูกพันตนเองกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงอย่างน้อย 50% ภายในปี 2553 แต่นายกรัฐมนตรีเยอรมันกล่าวว่า จะมีการพิจารณาวัตถุประสงค์โดยเฉพาะเจาะจงเหล่านั้นกันอย่างเครียดเคร่ง
คุณฟิลลิป แทรป ประธานขององค์การพิทักษ์สิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ณ กรุงวอชิงตันกล่าวว่า การประนีประนอมรอมชอมดังกล่าวขาดความหนักแน่น และว่าสิ่งเดียวที่ ปธน. บุช เห็นพ้องด้วยความเต็มใจก็คือ ควรจะมีสนธิสัญญาฉบับใหม่มาใช้แทนที่สนธิสัญญาเกียวโต เมื่อสนธิสัญญาฉบับนั้นหมดอายุลงในปี 2555 และว่าผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่ง ปธน. อเมริกันต่อจากท่านในปี 2552 ควรจะเป็นผู้เจรจาเกี่ยวกับสนธิสัญญาดังกล่าว
คุณฟิลลิป แทรป กล่าวต่อไปว่า ปธน. บุช บอกปัดข้อเสนอที่ให้มีการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกปย่างเป็นกอบเป็นกำทุกข้อ และยังบอกปัดข้อเสนอที่ว่าประเทศที่เจริญทางอุตสาหกรรม ควรปรับปรุงประสิทธิภาพด้านการใช้พลังงานในประเทศของคนลง 30% ในช่วง 15 ปีข้างหน้า คุณฟิลลิป แทรป กล่าวด้วยว่า คำแถลงการณ์ไร้ความหมายอย่างแท้จริง
แต่นายก รมต. อังกฤษ โทนี่ แบลกลับมองเห็นความคืบหน้า และว่าขณะนี้เรามีข้อตกลงกันว่าจะมีการทำข้อตกลงเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ซึ่งจะพัวพันทุกฝ่ายรวมทั้งสหรัฐ และจีน เขากล่าวด้วยว่าเรื่องข้างต้นจะหมายถึงว่าจะมีการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงอย่างเป็นกอบเป็นกำ และเราจะใช้เรื่องดังกล่าวเป็นจุดเริ่มต้นของการพิจารณาเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 50% ภายในปี 2593 ซึ่งจะเป็นเรื่องใหญ่มาก
คุณฟิลลิป แทรป นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมกล่าวว่า รูปการณ์ที่มีลักษณะเสริมสร้างเพียงประการเดียวก็คือว่า ถึงแม้ ปธน. บุช จะบอกปัดข้อเสนอที่สำคัญๆ แต่ท่าน ปธน. ก็ปูทางให้ผู้นำของกลุ่ม G8 คนอื่นๆ เริ่มสร้างสรรค์ความคิดเห็นโดยรวมเกี่ยวกับข้อตกลงว่าด้วยเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศฉบับใหม่ และดำเนินงานเกี่ยวกับเรื่องนั้นร่วมกับ ปธน. อเมริกันคนต่อไป
